เป็นไปได้ ก็ไม่มีใครอยากเสียเครดิตบูโรแน่นอน เพราะหมายถึงเราจะหมดโอกาสขอสินเชื่อส่วนบุคคลรวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ด้วย แต่ในเมื่อหนี้สินเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องมาหาทางออกกัน โดยเฉพาะการหยุดจ่าย เราจะถูกพนักงานทวงหนี้ทางโทรศัพท์ติดต่อมาแบบถี่ยิบแน่นอน
ถึงเวลานั้นแล้ว หากทยอยจ่ายก็เสียเครดิตบูโร ไม่จ่ายก็เสียเครดิตบูโรเหมือนกัน ซ้ำยังเกิดปัญหาการถูกอายัดและยึดทรัพย์สินตามมาอีกด้วย และหากเลือกที่จะใช้วิธี Hair Cut หนี้ก็ต้องทำความเข้าใจถึงข้อดี-ข้อเสียของมันก่อน

7 ข้อที่ลูกหนี้ต้องรู้ ระยะเวลาของการใช้วิธี Hair Cut
1.หยุดจ่ายชำระกี่เดือน ถึงจะเข้าข่ายทำ Hair Cut หนี้
คำถามนี้ ลูกหนี้มั่นใจแล้วว่าอยาก Hair Cut หนี้แล้ว ซึ่งเราไม่รู้ระยะเวลาที่แน่นอน เพราะต้องขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินนั้น ๆ ด้วย แต่โดยทั่วไปคือหยุดจ่ายหนี้ 4 เดือนขึ้นไป ก็จะเริ่มเข้าข่ายแล้ว ยิ่งเราหยุดจ่ายไปนานเท่าไหร่ หนี้ของเราก็จะกลายเป็นหนี้เสียมากขึ้นเท่านั้น บางเคสอาจต้องรอกันเป็นปี หรือเจ้าหนี้จะบอกว่า ไม่มีนโยบายให้ Hair Cut หนี้ ทางเดียวก็คือเราก็ต้องรอรับหมายศาลต่อไป
หากตั้งใจจะ Hair Cut หนี้ ก็ให้หยุดจ่ายไว้ก่อน อย่าไปจ่าย ๆ หยุด ๆ แบบนี้จะไม่เข้าข่าย จะทำให้ขอส่วนลดไม่ได้ ระหว่างนี้พยายามเก็บสะสมเงินก้อนเอาไว้ เมื่อได้รับการติดต่อใด ๆ ก็ค่อยไปเจรจาต่อรองขอส่วนลดกัน เช่น ขอลด 50% โดยจ่ายเพียงงวดเดียวจบ หรืออาจจะขอแบ่ง 6 เดือน ก็ต้องไปคุยไปต่อรองกับเจ้าหนี้อีกที
2.หนี้บัตรเครดิต 3 สถาบันการเงินที่ฟ้องศาลเร็ว
สถาบันการเงินโดยเฉพาะ “หนี้บัตรเครดิต” ที่ฟ้องเร็วในระยะเวลา 4-6 เดือน คือ
1. หนี้บัตรเครดิต KTC
2.หนี้บัตรเครดิต City Bank
3.หนี้บัตรเครดิต UOB
ทั้ง 3 สถาบันข้างต้นนี้ ค่อนข้างจะขึ้นชื่อเรื่องฟ้องเร็ว แต่เฉพาะหนี้บัตรเครดิตเท่านั้น ส่วนหนี้บัตรกดเงินสด หรือหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลอื่น ๆ ก็จะฟ้องค่อนข้างช้าเหมือนรายการอื่น ๆ สำหรับหนี้บัตรเครดิตในข้อ 2 และ 3 ทันทีที่ได้รับหมายศาล ก็ให้รีบเอาเงินก้อนที่สะสมไว้ไปจ่ายชำระหนี้โดยเร็ว เพราะเราอาจจะได้รับส่วนลดในการ Hair Cut หนี้ที่น่าพอใจมาก ส่วนข้อ 1 จำนวนที่ลดอาจไม่น่าพอใจเท่าไร แต่เราก็ต้องจ่ายอยู่ดี
3.จะได้เปอร์เซนต์ส่วนลดเท่าไหร่ ในการทำ Hair Cut หนี้
จะมีตั้งแต่ 30% – 70% โดยมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามากำหนด ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาต่อรอง นโยบายของสถาบันการเงิน ซึ่งแต่ละที่ก็จะต่างกันไป ที่สำคัญคือหนี้ก้อนนั้นมีโอกาสเป็นหนี้เสียมากขนาดไหน หรือหยุดจ่ายมานานแค่ไหนแล้ว ทั้งหมดนี้จะเข้ามาเป็นตัวกำหนดส่วนลดทั้งนั้น อย่าเพิ่งมองว่าต้องได้ส่วนลดมากที่สุด แต่ให้ถามตัวเองก่อนว่า ระหว่างที่เราหยุดจ่าย ได้เก็บเงินก้อนเตรียมไว้มากแค่ไหน ถ้าได้ส่วนลด 70% แลกกับการต้องจ่ายครั้งเดียว แล้วเราจ่ายได้ ก็จะเป็นการทำ Hair Cut หนี้ที่คุ้มค่ากับการเสียเครดิตบูโรและตัดหนี้ออกไปได้อีก 1 ราย
4.ทำ Hair Cut หนี้แล้ว ขอผ่อนต่อได้หรือไม่
เราต้องเข้าใจก่อนว่า ที่เจ้าหนี้ยอมลดหนี้บัตรเครดิต หรือบัตรอื่น ๆ ให้เราในเปอร์เซ็นต์ที่สูง เพราะเค้าหวังให้เราจ่ายคืนทั้งหมดที่ค้าง แต่มีคำถามว่า “ขอผ่อนต่อได้ไหม?” แต่หักส่วนลดแล้วนะ คำตอบคือ “อาจจะได้” แต่อาจยืดให้มากที่สุด 6 เดือน – 1 ปี เท่านั้น อย่าลืมว่าลูกหนี้ขอผ่อนต่อได้ก็จริงอยู่ แต่การขอที่มากเกินไป ก็ไม่ได้เป็นผลดี เพราะค่าใช่จ่ายต่าง ๆ จากการหยุดจ่ายหนี้ก่อนหน้านี้มันก็จะมารวมด้วยหมด ดังนั้นถ้าได้เงื่อนไขที่ดีพอประมาณแล้ว ก็เคลียร์ให้จบไปจะดีกว่า
5.Hair Cut หนี้ ทำช่วงไหนได้บ้าง
ไม่มีกำหนดที่แน่นอนว่าเราต้องทำ Hair Cut หนี้ตอนไหน หลังจากที่เราหยุดจ่ายเป็นเวลานาน มากกว่า 4 เดือนขึ้นไป จนกระทั่งหนี้ของเรากลายเป็นหนี้เสีย โอกาสในการทำ Hair Cut หนี้จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนี้
- ก่อนได้รับหมายฟ้องจากศาล
- หมายฟ้องจากศาลมาส่งที่หน้าบ้าน พร้อมกำหนดวันไปศาล
- วันที่ไปขึ้นศาล แต่ยังต้องต่อสู้คดีอยู่ โดยต้องไปศาลตามนัดอีก
- ขึ้นศาลแล้วและทำ “สัญญาไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความ” ที่ชั้นศาล
- ศาลพิพากษาแล้ว อยู่ระหว่างการจ่ายคืนเจ้าหนี้ ตามศาลสั่ง
- ศาลพิพากษาแล้ว ไม่ได้จ่ายคืนเจ้าหนี้ ตามศาลสั่ง นำไปสู่การอายัดทรัพย์สินต่อไป
6.ทำ Hair Cut หนี้ช่วงไหนดีที่สุด
จะเห็นได้ว่าหลังจากหยุดจ่ายไปสักพัก เราจะสามารถทำ Hair Cut หนี้ได้ตลอด แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นก็ไม่ได้มีโปรโมชั่นดี ๆ มาให้เราทุกช่วง ดังนั้นให้พิจารณาและตัดสินใจให้ดี ว่าเราจะเลือกช่วงไหน เพราะบางทีเราก็ยอมรับอย่างไม่อายเหมือนกัน ว่าตั้งใจหยุดจ่ายเพื่อรอการ Hair Cut หนี้ แต่ช่วงที่แนะนำคือ
- หยุดจ่ายหนี้นานเกิน 6 เดือนขึ้นไป
- ก่อนได้รับหมายฟ้อง หรือยังไม่ถึงวันที่ศาลนัดฟ้อง
- ขึ้นศาลไปแล้ว ศาลยังไม่พิพากษา อยู่ระหว่างการต่อสู้คดี
สำหรับช่วงอื่น ๆ อาจได้ส่วนลดไม่มากเท่ากับช่วงที่กล่าวมา หรือการเจรจาต่อรองจะทำได้ยากขึ้น
7.ห้ามชำระหนี้เด็ดขาด หากยังไม่มีเอกสารยืนยัน
ข้อนี้สำคัญ เมื่อสิ้นสุดการเจรจาต่อรองต่าง ๆ แล้ว ห้ามจ่ายเงินเด็ดขาดไม่ว่าจะทางใดก็ตาม หากยังไม่ได้รับหนังสือยืนยันการปรับลดยอดหนี้และระบุวันที่ชำระหนี้ที่ชัดเจน หลังจากได้รับเอกสารแล้ว อ่านให้ละเอียดว่าเนื้อหาเป็นไปตามที่ได้คุยกันไว้หรือไม่ หากไม่เหมือนกับที่คุยกันไว้ ก็ให้แจ้งทางเจ้าหนี้เพื่อแก้ไขก่อน ในส่วนนี้ต้องรอบคอบให้มาก ๆ จะได้ไม่ถูกหลอกให้จ่ายเงินเพื่อไปชำระหนี้เดิม โดยไม่ได้ส่วนลดหนี้บัตรเครดิตอะไรเลย
By : Parichart J.